วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

When The Sun Goes Down : Album 2011 [3rd]









Cover Album : Standard

Cover Album : Deluxe Edition







Original Album
1. Love You Like A Love Song
2. Bang Bang Bang
3. Who Says
4. We Own The Night ft.Pixie Lott
5. Hit The Lights
6. Whiplash
7. When The Sun Goes Down
8. My Dilemma
9. That's More Like It
10. Outlaw
11. Middle Of Nowhere
12. Dices (Who Says Spanish version)
 Deluxe Edition
 Special

           We Own The Night (DEMO Version)





When The Sun Goes Down เป็นอัลบัมที่ 3 ของวงนักร้องอเมริกัน Selena Gomez & The Scene ซึ่งได้วางจำหน่ายในวันที่ 28 มิถุนายน 2011 โดยค่าย Hollywood Record  พวกเขาทั้งหลายได้ร่วมงานกับศิลปินหลายท่านในอัลบัมนี้ และได้ Producer กับนักเขียนเพลงจากอัลบัมก่อนๆ ได้แก่อัลบัมแรก Kiss & Tell (ค.ศ. 2009) และอัลบัมที่สอง  A Year Without Rain (ค.ศ. 2010) เช่น Rock Mafia กับคู่หู Tim James และ Antonina Armato  และยิ่งไปกว่านั้นยังมี Katy Perry , Devrim DKKaraoglu  และ  Toby Gad  แล้วที่จะมาสมทบอีกในอัลบัมนี้คือ Britney Spears , Priscilla Renea , Emanuel Kiriakou  และ  Sandy Vee
 
Selena Gomez ตามด้วยวง The Scene ได้ร่วมกันแต่งเพลงให้กับอัลบัมนี้ด้วย โดยเป็นจังหวะ Dance – Pop กับอิทธิพล Electro และเพลง Disco จากยุค 80 (ค.ศ. 1980)  โดยเนื้อเพลงเหล่านี้ประกอบด้วยเรื่องรัก , อิสรภาพ , คุณค่าของตัวเอง และความสุขของชีวิต

Single ที่ถือเป็น Single ที่เด่นดังของอัลบัม ได้แก่  Who Says  ซึ่งได้ปล่อยออกมาให้ชม MV กันในวันที่ 14  มีนาคม 2011 และติดอยู่ในอันดับที่ 21 ใน United State แถมยังติดอยู่ใน Top Twenty ในประเทศ Canada และ New Zealand เพลงป็อบแนว Acoustic ได้รับรางวัล Platinum ใน United State ต่อด้วย Single ที่ 2 จากอัลบัม When The Sun Goes Down คือเพลง Love You Like A Love Song  ขึ้นชาร์ท Top 40  ในประเทศ Belgium , Canada , New Zealand , และ United States  ต่อมา Single ที่ 3 คือเพลง Hit The Lights ได้ถูกปล่อยออกมาให้ชมกันในวันที่ 17 พฤษจิกายน 2011 และอัลบัม When The Sun Goes Down ได้ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ใน Billboard 200  ซึ่งขายได้มากกว่า 78,000 Copies  ทำให้แซงหน้ายอดขายในสัปดาห์แรกของอัลบั้มแรกของพวกเขาทั้งสอง หลังจากนั้นอัลบัมได้พุ่งขึ้นถึงอันดับที่ 3 ในอาทิตย์ที่ 2 ทำให้อัลบัมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและขึ้น Top 10 ในหลายๆประเทศ เช่น Belgium , Canada , Italy , Norway , Taiwan และ New Zealand หลังจากสิ้นปี 2011 อัลบัมถูกขายได้ 1,021,500 Copies ทั่วโลก






            ในปีค.ศ 2009 Selena และวงดนตรีของเธอก็ได้เปิดตัวอัลบัมแรกคือ Kiss & Tell และในปี 2010 ก็รีบปล่อยอัลบัมที่ 2 มาตามๆกัน นั้นคืออัลบัม A Year Without Rain หลังจากเปิดตัวอัลบัมทั้ง 2 แล้ว เธอก็ได้พูดว่าจะไม่ทำอัลบัมอื่นๆอีกแล้ว แต่หลังจากที่เธอได้ฟังเพลง Who Says แล้วเธอก็ได้พูดว่า “อัศจรรย์จริงๆ” ทำให้เธอได้แรงบันดาลแล้วตัดสินใจที่ที่จะทำอัลบัมอื่นๆอีกนั้นคือ อัลบัมที่ 3 “When The Sun Goes Down” นั้นเอง

               
Who Says ถูก On Air ครั้งแรกของอัลบัม When The Sun Goes Down ที่รายการของ Ryan Seacrest  ต่อมาในวันที่ 18 มีนาคม 2011 เธอได้ให้สัมภาษณ์กับ MTV ว่า “อัลบัมที่ 3 ของฉันนี้สนุกๆมาก มีเพลงนึงชื่อว่า Hit The Lights เพลงนี้ฉันรักจริงๆ” เธอพูดอีกว่า “แต่มันเป็นเพลงสำหรับ Dance แถมยังมีอะไรมากมายที่ลึกซึ้งในอัลบัมนี้” และเธอยังได้ร่วมทำเพลงกับศิลปินชื่อดังอีกคนคือ Pixie Lott แล้ว Producer ชาวเยอรมัน Toby Gad ในอัลบัมนี้ แล้วยัง Confirm ว่าจะปล่อยให้ฟังกันในหน้าร้อน 2011 นี้ด้วย  ไม่กี่วันต่อมาเธอได้เรียกรวมวงดนตรี (The Scene) ของเธอ (ทั้งๆที่ยังไม่ได้คิดชื่ออัลบัมแล้วก็หน้าปกอัลบัม) เธอบอกว่ามันจะเป็นอัลบัมที่แตกต่างจาก 2 อัลบัมแรก และแสดงให้เห็นว่าเธอได้เติบโตขึ้นมา และดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  ต่อมาทาง MTV ได้ Confrim แล้วว่าจะมีนักร้องอเมริกัน Britney Spears มาร่วมเขียนเพลงให้ Selena นั้นคือเพลง Whiplash  

                ในวันที่ 2 มิถุนายน 2011 อัลบัมที่ 3 ของเธอ ได้ถูกตั้งชื่อว่า When The Sun Goes Down และเพลงในอัลบัมทั้งหมดถูกเผยแพร่ไว้ใน Website ของเธอ หลังจากนั้นเพลงของเธอได้รั่วใหลสู่โลกออนไลน์ต่างๆ ทำให้เธอออกมาส่งข้อความทาง Video ใน Youtube Channel ของเธออย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเพลงทั้งหมดในอัลบัม แล้วอัลบัมก็ได้ปล่อยออกมาให้ซื้อขายกันอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มิถุนายน 2011 โดยค่าย Hollywood Record



 


               อัลบัม When The Sun Goes Down ถูกพัฒนาขึ้นด้วยรูปแบบ Electropop และ Synthpop จากอัลบัมก่อนนั้นคือ A Year Without Rain ซึ่งให้ความรู้สึกสบายตามที่ Tim Sendra จากบล็อก Allmusic Guide ได้กล่าวไว้ เช่น เพลง Hit The Lights ซึ่งเป็นเพลงแนว Disco โดยมีเนี้อเพลงแนวบัลลาดผสมกับจังหวะ Dance มันๆของ Uptempo และ Midtempo

                อัลบัมนี้มีการใช้เครื่องดนตรีมากมาย โดย Single แรกคือเพลง Who Says และเพลงที่ 4 คือเพลง We Own The Night ซึ่งได้ Pixie Lott มาช่วยแต่งเพลงและร่วมร้องในเพลงด้วย แล้วยังมี Acoustic มากขึ้นและเสียง Pop Indie ซึ่งตั้งใจจะให้เหมือนอัลบัม Stronger ซึ่งเป็นอัลบัมที่ 5  ของ Kelly Clarkson และเพลงทั้งหลายในอัลบัมนี้ไม่ได้มีการใช้เครื่องดนตรีสังเคราะห์ใดๆทั้งสิ้น  แต่การบันทึกอัลบัมที่ 3 ของเธอนี้ยังทำให้เธอได้กลายเป็นผู้หญิงแนวหน้าที่ได้รับการขนานนามว่ามีเสียงไพเราะและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่านักร้องนักแสดงเด่นๆของช่อง Disney Channel อย่าง Vanessa Hudgens และ Miley Cyrus โดยอัลบัม When The Sun Goes Down ได้มีเนื้อเพลงที่มุ่งเน้นไปทางการปลอบใจและปลดปล่อยความกลัวของตนเองรวมถึงความวิตกกังวล , ความรัก , การสูญเสีย , ความเหงาและเรื่องผู้หญิงๆเป็นส่วนใหญ่

                เพลงแรกของอัลบัมคือเพลง Love You Like A Love Song ซึ่งแต่งโดย Antonina Armato , Tim James , Adam Schmalholz และผลิตโดย Rock Mafia ต่อมาด้วยเพลงที่ 2 ของอัลบัม เป็นเพลงที่ลึกซึ้งด้วยเสียง Vocal และเป็นการรวมกันของจังหวะ Eurodisco และ Dubstep นุ่มๆ นั้นคือเพลง Bang Bang Bang โดยเธอบอกว่าเป็นเพลงที่มีความสนุกสนานบวกกับความหน้าด้านของเพลงนิดๆ และผสมแนวเพลง Electro จากยุค 80 (ค.ศ.1980) โดยความหายของเพลงนั้นเป็ฯการเยอะเย้ยแฟนเก่าของเธอและยกย่องแฟนใหม่ของเธอและเพลงๆนี้ถูกนำไปเทียบกับ เพลง Electropop จากนักร้องอังกฤษวง Duo อย่าง Ra Roux กับซิงเกิ้ลฮิต Bulletproof  ในปี 2009

                Who Says เป็นเพลงที่ 3 ของอัลบัม ที่มีการร้องแนว Acoustic โดยมีความหายที่ยกย่องและให้กำลังใจตัวเองจากการที่นักวิจารย์ของเธอได้มีความเมตตาและเห็นหกเห็นใจเธอทำให้เธอพาเพลงนี้ขี้นบน Billboard Hot 100 ได้ในอันดับที่ 24 และได้ไต่ชาร์ทขึ้นมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ในอันดับที่ 21 และเป็นเพลงที่ขึ้นชาร์ทได้สูงที่สุดของเธอในกลุ่มประเทศ United States , Canada และ New Zealand ตามมาด้วยเพลงที่ 4 ของอัลบัม นั้นคือเพลง We Own The Night  ซึ่งแต่งโดย Toby Gad และนักร้อง – นักแต่งเพลงชาวอังกฤษดนตรีแนว Electronic Soul นั้นคือ Pixie Lott นอกจากช่วยแต่งเพลงแล้วยังร่วม Featuring ในเพลงอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเพลงแนว Acoustic และเสียง Harmonic คู่กับทำนองเพลงตามสไตย์ของ Jimmy Buffett ต่อด้วยเพลงที่ 5 ของอัลบัมคือเพลง Hit The Lights เป็นเพลง Dance ที่เกี่ยวกับการเอาชนะความวิตกกังวลและความเป็นอยู่ในขณะนี้

                นักร้องเพลงป็อบชาวอเมริกันอย่าง Britney Spears ได้แต่งเพลงให้อัลบัมนี้อีกด้วย ซึ่งเป็นเพลงที่ 6 ของอัลบัมโดยมีชื่อเพลงว่า Whiplash เป็นเพลงแนว Electropop และ Electroglam ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักที่เร่าร้อนในจิตนาการที่โดดเด่น ซึ่งในเพลงนี้ได้รับความเฉิดฉายมาจาก Britney Spears ด้วย

                นอกจากนี้เพลง We Own The Night ยังมีถึง 2 Version โดย Version แรกคือเวอร์ชั่นที่อยู่ในอัลบัม โดยมี Pixie Lott มาร่วม Featuring ด้วย อีก 1 Version คือ Demo Version ซึ่งมีทำนองเหมือนกันเพลง Whiplash โดย Version นี้ จะมีการร้องที่เร็วบ้างทำให้มีการหายใจเข้า – ออกอย่างหนักส่วนเนื้อหาเพลงเกี่ยวกับการรักคนนั้นทีคนนี้ทีในการใช้ชีวติกลางคืนและต้องการคนที่รักนั้นมาเป็นของตัวเอง

                เพลงไตเติลของอัลบัมยังมีการใช้กีต้าไฟฟ้าและเสียงสังเคราะห์ (เช่นเพลง Love You Like A Love Song มีท่อนนึงที่ร้องว่า and I keep hitten repeat peat peat peat คำว่า peat นี้แหละที่ใช้เสียงสังเคราะห์ซ้ำเสียงให้ร้องต่อกัน) ต่อมา Selena ได้ระบุว่าเพลง When The Sun Goes Down ที่แต่งขึ้นนั้นมีความหมายพิเศษสำหรับเธอและนักเล่นเบสในวงดนตรีของเธอที่ชื่อ Joey Clement เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายได้แต่งเพลงนี้ด้วยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ โดย Selena ได้บอกว่า “ ฉันได้รวบรวมและเขียนท่อน Bridge ขึ้นมาใหม่ เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกว่าได้ทำงานกันเป็นทีม ”

                เพลงที่ 6 ของอัลบัมคือเพลง My Dilemma เป็นเพลง Pop – Rock เนื้อเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกสับสนกับกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและการแตกแยก เพลงต่อมาคือเพลง That’s More Like It เป็นเพลงที่ 7 ของอัลบัม แต่งโดย   Katy Perry และได้กำลังใจของสาวอเมริกันปี 1950 และการขัลละวกเขาออกจากบ้าน โดย Selena ต้องการให้เป็นเพลงแบบว่า ผู้ชายที่ไม่สนใจเธอ จะต้องโดนออกคำสั่งให้ทำอาหาร ทำความสะอาดและทำงานบ้านทุกอย่าง และได้คำสั่งแบบสะใจว่า “ ไปทำอาหารเย็นให้ฉัน ถ้าเสร็จแล้วก็นำมันมาวางไว้ตรงหน้าฉัน ”

                Outlaw เป็นเพลงที่ 8 ของอัลบัม โดยความหายของเพลงเกี่ยวกับการอย่าหลงเชื่อคำเล่าลืที่ลมๆแล้งและการแก้แค้น ที่มีท่วงทำนองเดียวกับเพลง Cowboy Casawana ของ Carrie Underwood และเพลง Monster ของ Lady Gaga โดยในเนื้อเพลงนั้นใช้ภาพลักษณ์ของ Wild West และอ้างถึงรัฐ Texas บ้านเกิดของเธอ “ฉันมาจากรัฐ Lone Star และฉันอยู่ที่นี้แล้ว”

                เพลงสุดท้ายของอัลบัมคือเพลง Middle Of Nowhere เป็นเพลง Dance – Pop เด่นไปด้วยจังหวะ Electropop และเสียงสังเคราะห์ผสานกับเสียงระฆัง โดยในเพลง Selena ต้องปรับสภาพความโศกเศร้าจากการที่อดีตคนรักทอดทิ้งเธอไว้ข้างหลังเพียงลำพัง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากสำหรับใครก็ตามที่ทำกับเธอแบบนี้ โดยท่อน Bridge ของเพลงเป็นท่อนที่ต้องหายใจเข้า – ออก ลึกมากเพื่อที่จะร้องออกมา ซึ่งเป็นสไตย์ของผู้หญิงแนวหน้าอย่าง Shirley Manson และ Bonus Track ของอัลบัมคือเพลง Who Says : Spainish Version หรือมีอีกชื่อนั้นคือเพลง Dices และอีกเพลงสำหรับอัลบัม Deluxe Edition คือเพลง Ghost Of You : Spainish Version หรือมีอีกชื่อว่า Fantasma De Amor
 
 

                Who SaysSingle  เด่นของอัลบัมแต่งและผลิตโดย Emanuel  Kiriakou กับ Prisoilla  Hamilton และปล่อยมาให้ชมกันในวันที่ 14 มีนาคม 2011 โดยเพลงนี้ได้พบกับความคิดเห็นโดยทั่วไปในเชิงบวกมากที่สุดจากนักวิจารย์ เพลงที่มีหลายรูปแบบ  และมีความหายให้กำลังใจตัวเองมากที่สุด โดย Bill Lamb จากเว็บ About.com ก็ได้เรียกเธอว่า “ นักร้องเพลงป็อบจากดิสนีย์ที่โด่งดังมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ” เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 24 และไต่ชาร์ทขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 21 ของ Billboard Hot 100 โดยมียอดขายมากกว่า  1  ล้าน  Copies ใน United States  และได้รับรางวัลรับรองระดับ Platinum จาก RIAA

                Who Says  ยังขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 17 ใน Canada และ อยู่ในอันดับที่ 15 ใน New Zealand จนได้กลายเป็นนักร้องที่มีเพลงขึ้นชาร์ทสูงสุดในประเทศเหล่านั้น และยังติด Top 50 ใน Germany และ Ireland แถมติดอยู่ในชาร์ท หลักของประเทศ United Kingdom , Belgium , Australia , Austria , Thailand และ Vietnam

                ในวันที่ 17 มิถุนายน 2010 ได้ปล่อย Single ที่ 2 ของอัลบัมคือเพลง Love You Like A Love Song ต่อมาได้เริ่มถ่ายทำ MV Hit The Lights ในเดือนกันยายน 2011 และถ่ายทำเสร็จได้ปล่อยออกมาให้ชมกันในเดือน  พฤษจิกายน 2011 และได้ติดชาร์ท Top 30 ใน Belgium และได้ขึ้นมาอยู่ใน Hot 100 ที่อันดับ 93 และได้โด่งดังอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2012



                ในการเตรียมการที่จะปล่อยอัลบัมนี้ เธอได้ปล่อย 2 Single ให้หามาซื้อฟังทาง Itune ในวันที่ 7 มิถุนายน 2011 เริ่มด้วยเพลงแรกคือเพลง “Bang Bang Bang” ซึ่งหลังจากปล่อยมาทาง Itune แล้วก็ได้ไต่ชาร์ทขึ้นบน Billboard Hot 100 โดยอยู่ในอันดับที่ 94 และต่อมาด้วยเพลง Who Says : Spainish Version หรือ Dices นั้นเอง



                นักวิจารณ์ให้คะแนนอัลบัม 58 / 100 จาก 6 คำวิจารณ์ รวมถึงอัลบัมยังได้พบกับการต้อนรับร่วมกันกับ Michael  Wood  จากนิตยสาร Entertainment Weekly  ได้เขียนว่า “เสียงของเธอนั้นช่างบาดใจยิ่งนักในจังหวะ Electro – Disco เหมือนกับเพลง Bang Bang Bang ” และ  “ผู้ร่วมงานชั้นนำอย่างเพลง Whiplash ที่แต่งโดย Britney Spears
                Bill Lamb จากเว็บ About.com ให้ความคิดเห็นว่า “มันทั้งหมดถูกดูดซึมไปด้วยทำนอง Smart Pop โดดเด่นด้วย Electropop และการชนะการมีอารมณ์ต่อความสัมพันธ์ และยังคงเป็นอัลบัมที่ดีมากๆของเธอไม่เคยเปลี่ยน”
                Jason Rosen จากนิตยสาร Rolling Stone ได้เขียนลงนิตยสารว่า “เพียงอายุแค่ 18 ปี เธอก็เป็นผู้มีประสบการณ์ในวงการบันเทิง (ก่อนที่เธอจะเป็นเจ้าหญิงแห่งดิสนีย์ เธอได้เป็นได้โนเสาร์จาก Serie เรื่อง Barney & Friends) ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าอัลับมที่ 3 ของเธอจะแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นมืออาชีพมากๆ และยังได้ Producer และนักแต่งเพลงชั้นนำมาร่วมด้วยในอัลบัมนี้รวมถึงนักร้องชื่อดังอย่าง Katy Perry และ Britney Spears อีกด้วย”



                When The Sun Goes Down ได้ปล่อยออกมาให้ซื้อหากันในวันที่ 28 มิถุนายน 2011  ในสัปดาห์แรกของวันที่ 4 กรกฏาคม 2011 อัลบัมได้ขึ้นที่ 4 ใน Billboard Hot 200 และมียอดขายมากที่สุดเท่าที่เธอเคยขายได้ โดยขายได้ 78,000 copies ในสัปดาห์แรก ซึ่งมากกว่าอัลบัมแรก “Kiss & Tell”  (ขึ้นที่ 9 ใน Billboard Hot 200 และขายได้ 66,000 copies ในสัปดาห์แรก) และอัลบัมที่ 2 (ขึ้นที่ 4 ใน Billboard Hot 200 และขายได้ 66,000 เท่ากันกับอัลบัมแรก ในสัปดาห์แรก) สัปดาห์ต่อมา อัลบัม When The Sun Goes Down ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 3 และเป็นอันดับที่สูงที่สุดของเธอ

ใน Canada อัลบัมนี้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 ที่ Canadian Albums Chart โดยมียอดขาย 9,000 copies ในสัปดาห์แรก ต่อมาได้อยู่ในอันดับที่ 2 ในประเทศ Spain กับ Spainish Albums Chart ผ่านมา 3 สัปดาห์ก็ตกมาอยู่ในอันดับที่  5 และ 6

ใน Belgium อัลบัมได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 21 ที่ Belgian Albums Chart และได้กระโดดขึ้นมาที่อันดับที่ 6 และได้ขึ้นมาอันดับที่ 6 อีก ใน Mexico ต่อมาได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 16 ใน Norway และขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 6 ภายในแปดสัปดาห์ 

ในเดือนพฤษจิกายน 2011 อัลบัมมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 248%  ในยอดขายปกติและขายได้มากกว่า 500,000 copies ใน United States และได้รับรางวัลรองรับระดับ Gold จาก RIAA เมื่อ 17 พฤษจิกายน 2011 และยังเป็นอัลบัมที่ 3 ของเธอที่ยังคงได้รับการรับรองระดับ Gold จาก RIAA อีกด้วย



ที่
ชื่อเพลง
ผู้แต่ง
ผู้ผลิต
นาที
1.
Love You Like A Love Song
Antonina Armato, Tim James, Adam Schmalholz
Rock Mafia, Devrim Karaoglu
3:08
2.
Bang Bang Bang
Toby Gad, Meleni Smith, Priscilla Hamilton
Gad
3:15
3.
Who Says
Emanuel Kiriakou, Hamilton
Kiriakou
3:16
4.
We Own The Night ft.Pixie Lott
Toby Gad, Pixie Lott
Gad
3:47
5.
Hit The Lights
Leah Haywood, Daniel James, Tony Nilson
Dreamlab
3:14
6.
Whiplash
Greg Kurstin, Nicole Morier, Britney Spears
Kurstin
3:40
7.
When The Sun Goes Down
Selena Gomez, Joey Clement, Steve Sulikowski, Stefan Abingdon
Abingdon
3:16
8.
My Dilemma
Armato, James, Karaoglu
Rock Mafia, Karaoglu
3:10
9.
That’s More Like It
Josh Alexander, Billy Steinberg, Katy Perry
Alexander, Steinberg
3:09
10.
Outlaw
Selena Gomez, Armato , James, Thomas Armato Sturges
Rock Mafia, Karaoglu, Sturges
3:22
11.
Middle of Nowhere
Espen Lind, Amund Bjorklund,Sandy Wilhelm, Carmen
Sandy Vee, Espionage
3:27
12.
Dices (Who Says Spainish Ver.)
Kiriakou, Hamilton; Edgar Cortazar, Mark Portmaann
Kiriakou
3:16

จำนวนรวมเวลาทั้งหมด


39:53



Target store / Asda tracks

ที่
ชื่อ
ผู้แต่ง
ความยาว
13.
Fantama de Amor (Spainish version of Ghost of You)
Edgar Cortazar, Ernesto Cortazar, Mark Portmann
3:24
14.
A Year Without Rain (Dave Aude Radio Remix)
Toby Gad, Lindy Robbins
4:00
15.
Who Says (Bimbo Jones Radio Remix)
Kiriakou, Renea
2:51
16.
Who Says (Dave Aude Radio Remix)
Kiriakou, Renea
3:35

Deluxe Edition

ที่
ชื่อ
ความยาว
13.
Love You Like A Love Song (Dave Aude Radio Remix)
3:17
14.
Love You Like A Love Song (Dave Aude Club Mix)
6:28
15.
Love You Like A Love Song (Jump Smokers Radio Remix)
4:11
16.
Love You Like A Love Song (Jump Smokers Club Remix)
4:36
17.
Love You Like A Love Song (DJ Escape & Tony Coluccio Radio Remix)
3:16
18.
Love You Like A Love Song (DJ Escape & Tony Coluccio Club Remix)
6:38
19.
Love You Like A Love Song (Mixin Marc & Tony Svejda Radio Remix)
3:59
20.
Love You Like A Love Song (Mixin Marc & Tony Svejda Club Remix)
5:49

UK iTune Bonus Video

ที่
ชื่อ
ความยาว
13.
Love You Like A Love Song (Behind The Scene)
3:54

Japanese Edition

ที่
ชื่อ
ผู้แต่ง
ความยาว
13.
Who Says (Dave Aude Radio Remix)
Emanuel Kiriakou, Renea
3:33
14.
Round & Round (7th Heaven Radio Mix)
Kevin Rudolf, Andrew Bolooki, Fefe Dobson, Jeff Halavacs, Jacob Kasher
3:42
15.
A Year Without Rain (Fascination Club Radio Edit)
Lindy Robbins, Toby Gad
3:50

Japanese Deluxe Edition DVD

ที่
ชื่อ
ความยาว
1.
Who Says (Music Video)
3:21
2.
Love You Like A Love Song (Music Video)
3:41

Canadian Edition

ที่
ชื่อ
ความยาว
12.
Who Says (SmashMode Radio Remix)
3:21